924 Views |
ขณะที่ปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างมากต่อวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก เริ่มจะทุเลาลงบ้างแล้วเมื่อดูจากตัวเลขผู้ติดเชื้อที่มีแนวโน้มลดลงในภาพรวม จนหลายคนคิดว่าเราอาจจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
แต่ผู้ชายที่ชื่อ บิล เกตส์ กลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะยังมีปัญหาสำคัญที่มารอเปลี่ยนชีวิตเราอยู่อีกเรื่อง
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟต์ได้เดินสายให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างๆ เพื่อโปรโมตหนังสือเล่มใหม่ของเขาที่มีชื่อว่า How to Avoid a Climate Disaster ที่พูดถึงปัญหาสำคัญที่ยังรอการแก้ไขอยู่ ก็คือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change
บิล เกตส์ ในวัย 65 ปี บอกว่า ปัญหานี้หนักหนากว่าโรคระบาดมาก และการที่จะแก้ไขได้นั้น ต้องใช้การแลกเปลี่ยนไอเดียและความร่วมมือกันจากหลายฝ่าย มากกว่าการแก้เรื่องโควิด-19 หลายเท่าตัว เขามองว่าเรื่องนี้นี่แหละ ที่เป็นความท้าทายที่หนักหนาที่สุดของมนุษยชาติอย่างแท้จริง
ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลง
ในการให้สัมภาษณ์กับ 60 Minutes รายการทอล์คโชว์เก่าแก่ของสหรัฐฯ บิล เกตส์ ได้พาทีมงานไปถ่ายทำกันที่ร้านเบอร์เกอร์แห่งหนึ่งในเมืองซีแอตเติล
เมื่อถูกถามว่า หากมองไปรอบตัวในร้านเบอร์เกอร์แห่งนี้ จะมีสิ่งใดบ้างที่ต้องเปลี่ยน เพื่อแก้ไขปัญหาอุณหภูมิโลก
คำตอบก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่าง
บิล เกตส์ เริ่มอธิบายถึงสิ่งรอบตัวที่จำเป็นต้องเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นปูนซีเมนต์ที่ต้องใช้กรรมวิธีการผลิตแบบอื่น ชนิดของเหล็กที่ใช้สร้างร้านจะต้องเปลี่ยน รวมไปถึงเนื้อที่ใช้ทำเบอร์เกอร์ กระดาษห่อเบอร์เกอร์ และแก้วน้ำพลาสติก
ไม่เว้นแม้กระทั่งมันฝรั่ง ที่ต้องเปลี่ยนทั้งปุ๋ยที่ใช้ ไปจนถึงรถที่เก็บเกี่ยวและขนส่งมายังร้านอาหาร
เขาให้เหตุผลว่า พอเป็นเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์แล้ว เราไม่สามารถมองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ได้เลย
ในการรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19 เราได้เรียนรู้วิถีชีวิตใหม่ที่เรียกว่า New Normal ที่ต้องงดกิจกรรมทางสังคม เว้นระยะห่าง ใส่หน้ากาก ล้างมือ เป็นการงดและเพิ่มพฤติกรรมบางอย่าง เพื่อให้กลับมาอยู่กันได้แบบปกติในอนาคตอันใกล้
แต่การแก้ปัญหาภูมิอากาศ สิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไปมากกว่านั้นหลายเท่า มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นการปรับเปลี่ยนแบบถาวร และทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ต้องเริ่มแก้ไขตั้งแต่วันนี้
หลายคนอาจมองว่า ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องไกลตัว ต่างจากโรคระบาดอย่างโควิด-19 ที่พอเกิดขึ้นแล้ว ทุกคนต่างรับรู้ถึงวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปได้ในทันที
น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ปะการังฟอกขาว หรือระบบนิเวศน์ขาดความสมดุล สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาที่จะส่งผลกระทบได้รวดเร็วเท่ากับการระบาดของเชื้อไวรัส
บิล เกตส์ เชื่อว่า มนุษย์ไม่สามารถรอให้ปัญหานี้มาถึงตัวก่อนแล้วค่อยแก้ได้ เพราะทุกอย่างจะสายเกินไป
ระบบนิเวศทางธรรมชาติจะพินาศ เกิดความไม่มั่นคง และการย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่ ผู้คนจะล้มตายมากกว่าโรคระบาดถึง 10 เท่า และหายนะที่กล่าวมาทั้งหมด จะเกิดขึ้นก่อนสิ้นสุดศตวรรษนี้
ในหนังสือของเขา ได้มีการรวบรวมข้อเสนอต่างๆ ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ ทั้งในอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม โดยสหรัฐฯ ต้องเป็นผู้นำในการทำสิ่งที่กล่าวมาให้สำเร็จ ภายในปีค.ศ. 2050
ข่าวที่พอจะทำให้ บิล เกตส์ มีความหวังขึ้นมาบ้าง คือการที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ตัดสินใจกลับเข้าร่วมความตกลงปารีส ซึ่งเป็นการกำหนดกติการะหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจบางเรื่อง เช่น การเปลี่ยนยานพาหนะของหน่วยงานรัฐทั้งหมดเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ยังเป็นการแก้ที่ปลายเหตุเท่านั้น เพราะสิ่งที่เป็นต้นเหตุจริงๆ คือ การผลิตเหล็กและปูนซีเมนต์ ที่มีสัดส่วน 16% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาสู่โลก ยังไม่ได้รับการเหลียวแลเท่าที่ควร
ในการแก้ไขปัญหาตรงจุดนี้ รัฐจะต้องเพิ่มงบประมาณสำหรับการวิจัยด้านสภาพอากาศและพลังงานสะอาดจำนวนมาก เพื่อคิดค้นนวัตกรรมที่ทำให้มนุษย์ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปมีวิถีชีวิตเหมือนช่วงก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
อาหารแห่งอนาคต
หากว่าสิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้นยังดูไม่ใกล้ตัวพอ คงต้องพูดถึงเรื่องอาหารการกิน ที่มีผลต่อทุกคนบนโลก
หนึ่งในข้อเสนอของ บิล เกตส์ ที่ได้รับเสียงต่อต้านมากที่สุด คือการออกมาบอกว่า ประเทศร่ำรวยจำเป็นจะต้องเปลี่ยนมาบริโภคเนื้อสังเคราะห์ทั้งหมด 100%
เขารู้ดีว่าข้อเสนอนี้ต้องสร้างความกระอักกระอ่วนให้กับหลายคน และอาจมีการตั้งคำถามว่า การบริโภคเนื้อสัตว์มันเกี่ยวกับปัญหาสภาพภูมิอากาศตรงไหน
ต้องบอกก่อนว่า การเลี้ยงปศุสัตว์ในสมัยก่อนที่ประชากรโลกยังมีไม่มาก อาจจะไม่ได้สร้างผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศเท่าใดนัก แต่พอมาดูยุคปัจจุบัน ผลจากการทำปศุสัตว์จำนวนมากซึ่งแปรผันไปตามจำนวนประชากรโลก ได้ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะเป็นการผลิตก๊าซมีเทน ที่เกิดจากการเรอหรือผายลมของสัตว์ และก๊าซมีเทนก็ส่งผลทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก
มีงานวิจัยระบุว่า ก๊าซมีเทนส่งผลกระทบต่อภาวะเรือนกระจกมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 80 เท่าเลยทีเดียว
แต่อยู่ดีๆ จะมาบอกให้ทุกคนเปลี่ยนมากินมังสวิรัติ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว หนทางเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ได้ก็คือ ต้องมีการวิจัยและพัฒนาเนื้อสังเคราะห์ ให้มีสัมผัสและรสชาติทัดเทียมกับเนื้อจริงให้ได้มากที่สุด
คำทำนายที่กลายเป็นจริง
ย้อนกลับไปเมื่อปีค.ศ. 2015 บิล เกตส์ คือผู้ที่มองเห็นปัญหาในอนาคต ว่าภัยของมนุษยชาติที่จะเกิดขึ้น คือการระบาดของเชื้อไวรัส ไม่ใช่สงครามนิวเคลียร์อย่างที่หลายคนหวาดกลัว ณ ตอนนั้น
ในอีก 5 ปีให้หลัง ทุกคนได้รู้แล้วว่า สิ่งที่เขาเตือนไว้ในอดีต ได้กลายมาเป็นความจริง
ความสามารถการมองเห็นอนาคตของเขา ไม่ได้มาจากการอ้างที่มาโดยสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ แต่มาจากการค้นคว้าและศึกษาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เป็นเวลาหลายปี
และในวันนี้ บิล เกตส์ ออกมาเตือนโลกอย่างจริงจังอีกครั้ง ถึงภัยที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต หากโลกไม่เริ่มเปลี่ยนแปลงเสียตั้งแต่วันนี้
อ้างอิง: https://www.axios.com/bill-gates-climate-change-alarm